ประเภทบทความ/งานวิจัย : R2R สถานะ : จัดทำโครงร่าง
   บทความ/วิจัย เรื่อง : การป้องกันการตกเลือดหลังคลอด
ผู้แต่ง : สายชล ขุนหล้า ปี : 2559
     
หลักการและเหตุผล : ภาวะตกเลือดหลังคลอดเป็นภาวะฉุกเฉินทางสูติกรรมแพทย์ พยาบาลต้องให้ความช่วยเหลือ อย่างทันท่วงที มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายต่อมารดาอย่างมาก กลไกสำคัญที่สุดที่ทำให้เลือดหยุดดีหลังคลอด คือการหดรัดตัวของมดลูก หากมีสิ่งใดไปขัดขวางการหดรัดตัวของมดลูก ก็จะทำให้เสียเลือดอย่างมากจากการมีเลือดออกจากเยื่อบุมดลูกในส่วนที่เป็นรอยหลุดลอกตัวของรกในกรณีการคลอดทางช่องคลอดแล้วมีเลือดออกหลังจากการคลอดทารกเสร็จสิ้นมากกว่าหรือเท่ากับ 500 มล. และมากกว่าหรือเท่ากับ1,000 มล.ในกรณีที่ผ่าตัดทางหน้าท้อง การตกเลือดหลังคลอดเป็นสาแหตุการตายของมารดาทั่วโลกเป็นอันดับต้นๆ แม้ว่าโลกจะพัฒนาไปมาก มีความเจริญทางด้านการแพทย์ไปอย่างมากก็ตาม การสูญเสียมารดาจากการตกเลือดหลังคลอดยังมีให้เห็นและได้ยินกันบ่อยๆ อุบัติการณ์การเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดแบบเฉียบพลัน พบประมาณ1-5 เปอร์เซ็นต์ จากสถิติของ โรงพยาบาลสมเด็จ ยังพบอุบัติการณ์การเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดอยู่เรื่อยๆทุกปี และในปี 2554 พบผู้ป่วยมีภาวะ late PPH 1 case คิดเป็นร้อยละ 0.3 ผู้ป่วยได้รับการรักษาโดยการตัดมดลูก ทีมคณะกรรมการพัฒนาคุณภาพของตึกหลังคลอดจึงได้ตระหนักถึงความเสี่ยงสำคัญนี้ซึ่งอาจทำให้เกิดความรุนแรงถึงเสียชีวิตได้ จึงได้ร่วมกันหาแนวทางในการพัฒนากระบวนการดูแลผู้ป่วยเพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอดขึ้น  
วัตถุประสงค์ : 1. เพื่อลดอัตราการตกเลือดหลังคลอด 2. เพื่อลดอัตราการเกิด Hypovolemic shock 3. ไม่มีอุบัติการณ์ตัดมดลูก  
กลุ่มเป้าหมาย : ผู้ป่วยที่มาคลอดในโรงพยาบาลสมเด็จ  
เครื่องมือ : แบบประเมินและเฝ้าระวังการตกเลือดหลัง  
ขั้นตอนการดำเนินการ : . กระบวนการพัฒนาคุณภาพ โดยใช้เครื่องมือ CQI CPG 2. มารดาหลังคลอดแรกรับประเมินสัญญาณชีพ คลึงมดลูก ถ้ามีการส่งต่อจากห้องคลอดว่ามีปริมาณเลือดออก มากกว่า 350มล. ขึ้นไป เมื่อถึงตึกสูติกรรมหลังคลอด จะมีการเจาะฮีมาโตคริตแรกรับ และติดตามฮีมาโตคริตทุก4 ชม.จนครบ24ชม. 3. มีการกระตุ้นให้มารดาหลังคลอดปัสสาวะ และถ้ายังไม่ถ่ายปัสสาวะใน4ชม.ทำการสวนปัสสาวะทิ้ง ถ้ามี bladder full 4. มีการกำหนดแนวทางการเฝ้าระวังภาวะตกเลือดหลังคลอด โดยการประเมินการหดรัดตัวของมดลูก การวัดสัญญาณชีพและเลือดที่ออกทางช่องคลอด  
     
ผลการศึกษา : จากผลการศึกษา ปี 2559 พบว่า อัตราการเกิดภาวะตกเลือดหลังคลอดในระยะหลัง (Late PPH) เท่ากับ 0 อัตราการเกิดHypovolemic shock เท่ากับ 0 และ อัตราการตัดมดลูก เท่ากับ 0 หลังจากมีการพัฒนากระบวนการดูแลผู้ป่วยคลอด พบว่า การตกเลือดหลังคลอด น้อยกว่าค่าเป้าหมาย ซึ่งจากผลการดำเนินงาน พบว่า พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการที่จะลดอัตราการตกเลือดหลังคลอด การเฝ้าระวังในระยะหลังคลอด2ชม. และมีการearly detect มีส่วนสำคัญนอกจากจะช่วยลดความรุนแรง จากการตกเลือดไม่ให้เกิดภาวะช็อก ควรมีการนิเทศ ติดตามเจ้าหน้าที่ในการดูแลมารดาหลังคลอด ที่มีภาวะตกเลือดหลังคลอด หรือภาวะฉุกเฉิน ผู้ที่มีความชำนาญกว่า เช่น สูติแพทย์ แพทย์ เพื่อนำมาพัฒนาและปรับปรุงระบบการทำงานให้มีคุณภาพ การมีระบบงานที่ชัดเจนและครอบคลุม จะช่วยให้การดูแลมารดาหลังคลอดได้รวดเร็วและลดภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นได้ และมีระบบconsult จากผู้ที่มีความชำนาญกว่าจะช่วยให้แพทย์หรือพยาบาลช่วยในการดูแลมารดาหลังคลอดได้ครอบคลุมมากขึ้น  
ข้อเสนอแนะ : 1. มีการให้ความรู้แก่หญิงตั้งครรภ์ทุกรายในเรื่อง การบริโภคอาหารที่มีธาตุเหล็ก และให้ยาเสริมธาตุเหล็ก โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เพื่อป้องกันภาวะซีด 2. มีการอบรมให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่เป็นประจำ 3. ประเมินสมรรถนะของพยาบาลในการเฝ้าระวังภาวะการตกเลือดหลังคลอด  
     
รางวัลที่ได้รับ : ยังไม่ได้รับรางวัล  
     
  ไม่มีเอกสารแนบ